จังหวัดหนองคายได้ชื่อว่าเป็น“เมืองพญานาค
บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์สุดพิศวงที่ในทุกๆค่ำคืนวันออกพรรษากลางลำน้ำโขงในจังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะที่ อ.โพนพิสัย จะเกิดลูกไฟประหลาดลักษณะกลมๆ สีแดงอมชมพู ไม่มีควัน ไม่มีกลิ่น พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำ สร้างความฮือฮาให้กับผู้พบเห็น ณ วันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นจากอะไร ธรรมชาติ(ความเชื่อนี้ปัจจุบันได้รับการยอมรับในวงกว้าง) มนุษย์ทำ หรือ พญานาคทำ!?! แต่ในปัจจุบันปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคได้พ่นเม็ดเงินมหาศาลสู่จังหวัดหนองคายในช่วงเทศกาลวันออกพรรษา ที่นับได้ว่าพญานาคได้ให้คุณในงานบุญออกพรรษาอย่างแท้จริง | ||||
-ความเชื่อว่า ใต้ลำน้ำโขงช่วงเขต จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ในสปป.ลาวลาวนั้น ในอดีตเป็นเมืองบาดาล สร้างและปกครองเมืองโดยพญานาค สามารถไปมาหาสู่กันได้ -ความเชื่อว่า ในเขต อ.โพนพิสัย จุดที่พบบั้งไฟมากที่สุด มีเมืองบาดาลอยู่และเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ของพญานาค -ความเชื่อว่า ที่แก่งอาฮง จ.บึงกาฬ(อ.บึงกาฬเดิม) เป็นเมืองหลวงของพญานาค เนื่องจากเป็น “สะดือแม่น้ำโขง”หรือส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง ที่มีเส้นทางเชื่อมต่อกับ“วังนาคินทร์”เมืองพญานาคที่คำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ได้ สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่พิสูจน์ไม่ได้(ใครไม่เชื่อก็ไม่ควรหลบลู่) แต่ก็สามารถสร้างจุดขายทางการท่องเที่ยวให้กับหนองคายได้ดีพอสมควร ซึ่งในจังหวัดหนองคายมีวัดและธรรมชาติที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องผูกโยงกับพญานาคอยู่หลายแห่งด้วยกัน | ||||
ถ้ำดินเพียง ตั้งอยู่ที่ วัดถ้ำศรีมงคล บ้านดงต้อง ต.ผาตั้ง อ.สังคม เหตุที่ถ้ำนี้มีชื่อว่าถ้ำดินเพียง ก็เพราะเป็นถ้ำใต้ดิน ปากทางเข้าอยู่เสมอดินในระดับปกติ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า“ถ้ำดินเพียง” ส่วนเพตุที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า”ถ้ำพญานาค”นั้น ต้องไปฟังจากคำบอกเล่าของ ลุงคำสิงห์ เกศศิริ ผู้ที่นอกจากจะมาเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวชมภายในถ้ำแล้ว ยังเป็นผู้ค้นพบถ้ำแห่งนี้อย่างเป็นทางการอีกด้วย “สมัยก่อนพวกล่าสัตว์เล่ากันว่า เวลาไล่ตามเก้งกวางมาถึงแถวนี้ จู่ๆพวกมันก็หายไป ตอนนั้นไม่มีใครกล้าตามต่อ เพราะกลัวสิ่งลี้ลับ เนื่องจากสมัยก่อนที่นี่เป็นป่ารก” ลุงคำสิงห์ ก่อนรำลึกความหลังถึงประสบการณ์ตรงของแกว่า หลังจากแกเข้ามาถากถางทำไร่ในที่แห่งนี้ ในปี 2530 วันหนึ่งลุงเห็นสัตว์ออกมาหากิน พอเข้าไปใกล้ มันก็หายลงหลุมไป พร้อมๆกับที่มีค้างคาวบินออกมาจากหลุม ลุงคำสิงห์เอะใจว่า มันน่าจะมีถ้ำอยู่ข้างใน จึงชวนพรรคพวกลงไปสำรวจ เจอโพรงถ้ำเป็นห้องและคูหามากมาย “ในถ้ำมีห้อง มีช่องทางเยอะมาก ซับซ้อนเหมือนเขาวงกต ทำให้หลงได้ง่ายๆ พวกจึงเราต้องขึ้นมาเตรียมตัว แล้วลงไปสำรวจใหม่ นำเชือกผูกโยงกันไป มีคนนึงคอยเฝ้าปากถ้ำ เพื่อกันหลง เพราะถ้าหลงก็ให้กลับมาตามเส้นเชือก” | ||||
สำหรับสาเหตุที่มีคนเรียกถ้ำดินเพียงว่า“ถ้ำพญานาค”นั้น มาจากตำนานความเชื่อว่า ที่นี่เป็นทางเข้า-ออกของธิดาพญานาค ซึ่งมาหลงรักเจ้าชายของเมืองนี้บนโลกมนุษย์ แต่ครั้นพอถึงวันออกพรรษา ธิดาพญานาคต้องกลับสู่เมืองบาดาลเพื่อไปเล่นน้ำกับพญานาคด้วยกัน จนสุดท้าย เจ้าชายตามมาพบ รู้ว่าคนรักของตนเป็นพญานาคจึงขอตัดขาดจากกันที่ถ้ำแห่งนี้ จากเรื่องเล่าโบราณมาถึงเรื่องเล่าปัจจุบันบ้าง ลุงคำสิงห์บอกว่า หลังจากพบถ้ำแล้วลุงแกก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ วันหนึ่งมาทำไร่ งีบหลับแถวนี้ ก็ฝันว่ามีพญานาคตัวสีเหลืองใหญ่ ยาว ขึ้นมาจากแม่น้ำโขง บอกให้ลุงช่วยเฝ้าดูแลรักษาถ้ำ เพราะเคยเป็นคนเฝ้าถ้ำแห่งนี้มาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว “ตอนแรกลุงแกไม่เชื่อ ไม่กี่วันก็เป็นไข้ป่า รักษาหมอปัจจุบันไม่หาย ลุงเลยไปหาหมอนั่งทางใน เขาบอกให้ขอขมา พอลุงทำตามก็หาย เลยมาช่วยดูแลถ้ำ คอยพาคนลงไปเที่ยวชมถ้ำ” ลุงคำสิงห์เล่าให้ฟัง |
วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น